การดูแลรักษาบ้านสักหลังหนึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากเรื่องหนึ่ง ด้วยสภาพอากาศเมืองไทยที่ร้อนสลับกับฝนตกหนักแทบจะตลอดปี เชื่อว่าหลายๆ บ้านในปัจจุบันคงมีการติดตั้งรางน้ำฝนเพื่อป้องกันความเสียหายจากน้ำฝน ไม่ว่าจะเป็นบ้านจัดสรรสำเร็จรูปหรือจะปลูกบ้านเองก็ตาม แต่บ่อยครั้งรางน้ำก็มักจะเกิดความเสียหาย น้ำรั่ว หรือมีรอยแตก จนเกิดคำถามว่า รางน้ำแบบไหนทนกว่ากัน? เลือกแบบไหนถึงจะคุ้มค่าใช้งานได้ยาวนานที่สุด?
ดังนั้น VG จะมาไขข้อสงสัยดังกล่าวที่เจ้าของบ้านหลายคนมี โดยเปรียบเทียบความทนทานของรางน้ำฝนแต่ละชนิดที่มีจำหน่ายในตลาดปัจจุบันนี้ให้รู้กันไปเลย
รางน้ำฝนแต่ละแบบ ทนทานมากน้อยแค่ไหน?
รางน้ำฝนที่มีจำหน่ายในปัจจุบันผลิตมาจากวัสดุหลากหลายประเภท ซึ่งมีข้อดีข้อด้อยและอายุการใช้งานที่ต่างกันไปด้วย โดยวัสดุที่นิยมนำมาทำรางน้ำฝนมีอยู่ 5 ชนิด ดังนี้
1.รางน้ำฝนสังกะสี
วัสดุชนิดแรกที่ถูกนำมาทำรางน้ำฝนก็คือ “สังกะสี” โดยมีข้อดีตรงที่สามารถหาซื้อได้ง่าย และมีราคาถูกที่สุดในหมู่วัสดุที่ใช้ทำรางน้ำ เริ่มต้นที่ 200 - 400 บาทต่อเมตร มีลักษณะเป็นแผ่นเหล็กเคลือบสังกะสีที่ติดตั้งด้วยการนำมาพับหรือม้วนแล้วบัดกรีเชื่อมรอยต่อ เมื่อพูดถึงความทนทาน สังกะสีอาจจะเป็นวัสดุที่ตอบโจทย์นี้ไม่ได้มากนัก เนื่องจากสามารถเกิดสนิม ซึ่งนำไปสู่การผุกร่อนและเกิดรอยรั่วได้
รางน้ำฝนสังกะสีมีอายุการใช้งานเฉลี่ยนาน 5 - 10 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา แต่ถึงอย่างนั้นก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดการผุพังตามรางน้ำเป็นบางจุด ใครที่ติดตั้งรางน้ำฝนประเภทนี้ไว้ อาจต้องดูแลรักษาบ่อยๆ ซึ่งอาจจะไม่คุ้มค่าในระยะยาว
2.รางน้ำฝนสแตนเลส
สแตนเลสถือเป็นหนึ่งวัสดุที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ มีข้อดีในด้านของความทนทาน สามารถทนต่อฝนตกหนักหรือแดดจัดในช่วงหน้าร้อนได้ดี ซึ่งรางน้ำฝนประเภทนี้ต้องมีการเชื่อมเหล็ก จึงต้องอาศัยช่างผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งนั่นเอง หากเจ้าของบ้านท่านใดต้องการติดตั้งรางน้ำฝนสแตนเลส ต้องคำนึงเอาไว้ว่า สแตนเลสที่นิยมใช้ทำรางน้ำฝน มี 2 มาตรฐาน ได้แก่ สแตนเลส 201 และสแตนเลส 304
เริ่มต้นกันที่สแตนเลส 201 เป็นสแตนเลสที่มีความเบาและบาง มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 400 - 500 บาทต่อเมตร ส่วนอีกประเภทคือ สแตนเลสแท้ 304 ที่หนากว่าและหนักกว่า จึงมีความทนทานต่อสภาพอากาศและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า แต่ก็มีราคาสูงกว่าอยู่ที่ 550 - 750 บาทต่อเมตร เรียกได้ว่าเป็นรางน้ำฝนที่มีอายุการใช้งานในระดับปานกลาง เฉลี่ยประมาณ 10 ปี ทั้งนี้ก็มีโอกาสที่จะเกิดสนิมแดงขึ้นได้หากอยู่ในพื้นที่ติดทะเล รางน้ำฝนสแตนเลสจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณปานกลางนั่นเอง
3.รางน้ำฝนอลูมิเนียม
สำหรับบ้านไหนที่มีงบในจำนวนพอประมาณ รางน้ำอลูมิเนียมก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะเป็นวัสดุที่มีความทนทานสูง น้ำหนักเบา สามารถนำมาพ่นหรือชุบสีตามที่ของการ เพื่อให้เข้ากับดีไซน์ของบ้าน อีกทั้งสามารถดัดแปลงตัวรางให้เข้ากับดีไซน์ของบ้านได้ง่ายกว่าวัสดุอื่นๆ หมดปัญหาเรื่องรอยต่อไม่มีปัญหาน้ำหยดแน่นอน แต่ข้อเสียหลักยังคงเป็นเรื่องของการเกิดสนิมและการถูกน้ำกัดกร่อนจนสึกหรอหรือเป็นรูได้
เนื่องจากอลูมิเนียมเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบาแต่ทนทาน ทำให้มีราคาสูงกว่าสังกะสีและสแตนเลส โดยอยู่ที่ประมาณ 2,000 บาทต่อเมตร ถึงแม้จะสามารถนำมาดัดแปลงในเข้ากับตัวบ้านได้ดี แต่ในการความทนทาน ก็ต้องขอบอกว่ารางน้ำฝนอลูมิเนียมมีอายุการใช้งานราวๆ 10 ปีเช่นเดียวกันกับสแตนเลส 304 ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นรางน้ำฝนที่มีราคาสูง
4.รางน้ำฝนไฟเบอร์กลาส
วัสดุสังเคราะห์อย่างไฟเบอร์กลาส เป็นวัสดุที่มีความทนทานสูงมากๆ เนื่องจากเนื้อวัสดุที่เป็นเส้นใยแก้วจะไม่ทำปฏิกิริยาเคมี ส่งผลให้ไม่เกิดสนิม ไม่เกิดการกัดกร่อนใดๆ และไม่มีปัญหาด้านการรั่วซึม แต่ก็สามารถเกิดได้หากมีการเชื่อมที่ไม่เรียบร้อย นอกจากนี้ยังสามารถเคลือบสีเพื่อให้เข้ากันกับการออกแบบบ้านได้ด้วย ทั้งนี้ไฟเบอร์กลาสเป็นวัสดุที่พบเจอได้ยากกว่าประเภทอื่นๆ เนื่องจากเป็นที่ใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม จึงไม่มีจำหน่ายให้ครัวเรือนมากนัก
ราคารางน้ำฝนไฟเบอร์กลาสอยู่ที่ประมาณ 900 - 1,000 บาทต่อเมตร ซึ่งมีอายุการใช้งานประมาณ 10 ปีหรือมากกว่านั้น เพราะไม่เกิดสนิมจึงสามารถดูแลได้ง่าย ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานกว่ารางน้ำที่ทำมาจากโลหะ
5.รางน้ำฝน PVC หรือไวนิล
รางน้ำฝนไวนิลถือเป็นรางน้ำประจำบ้านยุคใหม่ และเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงสุดเลยก็ว่าได้ เพราะรางน้ำไวนิลถูกผลิตออกมาแบบสำเร็จรูปจึงสามารถหาซื้อได้สะดวก ในด้านคุณสมบัติ ไวนิลนั้นมีเนื้อเหนียว ทนทานแข็งแรง ไม่เป็นสนิม แต่มีน้ำหนักเบา อีกทั้งมีหลากหลายสีให้เลือกซื้อ ช่วยตกแต่งภายนอกได้ดีสุดๆ
รางน้ำฝน PVC ทั่วไปจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 600 - 900 บาทต่อเมตร และจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5 - 10 ปี ซึ่งหากไม่ได้มีการเคลือบชั้นผิวหรือเคลือบสี ก็อาจทำให้ไวนิลกรอบแตกจากแสงแดดและการกัดกร่อนของน้ำฝนได้ แต่หากเป็นรางน้ำฝนไวนิลคุณภาพดี ก็รับรองว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานแน่นอน
เปรียบเทียบกันให้เห็นไปแล้วว่ารางน้ำฝนแต่ละประเภทนั้นมีความทนทานและอายุการใช้งานมากน้อยแค่ไหน เชื่อว่าเจ้าของบ้านหลายคนคงรู้แล้วว่ารางน้ำประเภทไหนตอบโจทย์และคุ้มค่าในการติดตั้งมากที่สุด แต่สำหรับท่านใดที่ยังไม่แน่ใจหรือยังตัดสินใจไม่ได้ ก็ขอแนะนำให้รู้จักกับ “รางน้ำฝนไวนิล iR-uPVC” ที่โดดเด่นกว่าใครจาก VG
รางน้ำฝนไวนิลจาก VG ทนทาน คุ้มค่าสุดสำหรับบ้านยุคใหม่
รางน้ำฝน VG คือ รางน้ำไวนิลที่พิเศษไม่เหมือนใคร เพราะผลิตจากนวัตกรรม iR-uPVC พลาสติกคุณสมบัติพิเศษ จากการใช้ส่วนผสมเคมีภัณฑ์คุณภาพชั้นนำระดับโลก ที่เป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ VG และผ่านการผลิตโดยเครื่องจักรที่ทันสมัย ด้วยคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การใช้งานในทุกด้าน ทั้งความทนทานต่อทุกสภาพอากาศ มีความยืดหยุ่นสูง ไม่แตกหักง่าย ไม่เกิดสนิม และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานถึง 15 ปี พร้อมด้วยคุณสมบัติการปกป้องวัสดุที่ให้มากกว่าถึง 2 ชั้น
- ชั้นที่ 1 การปกป้องภายนอก (Outer Layer) ด้วยการเคลือบพิเศษด้วยสี Dupont สีจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก มีคุณสมบัติ Infrared Reflective ที่สามารถสะท้อนรังสี UV จากแสงแดดได้มากถึง 3 เท่า จึงไม่ทำให้เกิดสนิม ทั้งยังลดปัญหาอากาศร้อนบริเวณใต้ชายคาและช่วยลดความร้อนให้กับตัวบ้านได้อีกด้วย
- ชั้นที่ 2 การปกป้องภายใน (Inner Layer) ด้วยคุณสมบัติที่เน้นความแข็งแรงทางโครงสร้าง ความทนทานและมีความยืดหยุ่นสูง เมื่อกระทบกับน้ำและสภาพอากาศต่างๆ อยู่ตลอดเวลา จึงไม่เกิดการผุกร่อนหรือแตกหักได้ง่าย ช่วยให้คงสภาพรางน้ำได้ตลอดการใช้งาน สามารถยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น
มั่นใจมากกว่าเดิมด้วยการผ่านการทดสอบ Weather Testing จากประเทศเยอรมัน และยังตอบโจทย์เรื่องดีไซน์เพราะรางน้ำ VG มีให้เลือกถึง 3 รุ่น 3 สไตล์ คือ รุ่น PRIMO รุ่น FIRST R2 และรุ่น EZY หากสนใจรางน้ำ VG สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
สามารถสอบถามราคารางน้ำฝน และปรึกษา VG ผ่านช่องทางต่างๆ ด้านล่าง
โทร.: 087-654-7788, 080-744-7799, 063-271-7711 (ENG)
อีเมล: info@mycnpgroup.com
LINA OA: @vg-cnpFacebook: VG รางน้ำและหลังคาไวนิล