ส่วนประกอบของบ้านที่เรียกว่า “รางน้ำฝน” ถือว่าเป็นหนึ่งในส่วนที่สำคัญอย่างมาก เพื่อใช้ในการรับมือกับน้ำฝนที่ตกลงมา ป้องกันผนัง พื้นดิน สวนและต้นไม้ รวมไปถึงปัญหาอื่นที่อาจตามมา หากไม่ติดตั้งรางน้ำฝน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเจ้าของบ้านหลายคนคงได้เห็นรางน้ำฝนราคาต่างกันไป อีกทั้งยังมีหลายชนิดอีกด้วย ทำให้ใครๆ ต่างก็สงสัยว่าเพราะอะไรรางน้ำฝนจึงราคาต่างกัน
VG จะมาไขข้อสงสัย บอก 3 เหตุผลว่าทำไมรางน้ำฝนราคาไม่เท่ากัน พร้อมแนะนำวิธีการเลือกรางน้ำฝนให้ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด
รางน้ำฝนราคาต่างกันเพราะ 3 เหตุนี้!
1. วัสดุทำรางน้ำฝน
ปัจจัยแรกและเป็นสาเหตุที่ทำให้รางน้ำฝนมีราคาต่างกันก็คือเรื่องของ “วัสดุ” เนื่องในปัจจุบันนี้ได้มีการนำวัสดุหลากหลายแบบมาผลิตเป็นรางน้ำ ซึ่งมีคุณภาพและคุณสมบัติแตกต่างกันไป เช่น
- รางน้ำฝนสแตนเลส (Stainless Steel) – สแตนเลสเป็นหนึ่งในวัสดุที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะโดดเด่นด้านความทนทานและมีราคาที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับผู้จำหน่ายและยี่ห้อที่เลือก โดยมีลักษณะเป็นสีเหล็ก (สีเงิน) และมีผิวมันวาว ปัจจุบันสแตนเลสที่นิยมใช้ทำรางน้ำฝน มี 2 มาตรฐาน คือ สแตนเลส 201 ที่มีความเบาและบาง อีกชนิดก็คือสแตนเลสแท้ 304 ที่หนาและมีน้ำหนักมากกว่า
รางน้ำฝนสแตนเลสราคาเมตรละ 400 – 500 บาท มีอายุการใช้งานราว 5 – 10 ปี
- รางน้ำฝนอลูมิเนียม (Aluminum) – เป็นวัสดุที่มีความทนทานสูง น้ำหนักเบา พ่นสีตามที่ต้องการได้ นอกจากนี้ยังดัดแปลงตัวรางได้ง่าย ทำให้เข้ากับดีไซน์ของบ้านได้ดีกว่าวัสดุประเภทอื่น แต่ก็มีราคาสูงมากกว่าเช่นกัน โดยจะมีราคาอยู่ที่ 2,000 บาท/เมตร และมีอายุการใช้งานเฉลี่ยที่ 10 ปีหรือมากกกว่า
รางน้ำฝนอลูมิเนียมราคาเมตรละประมาณ 2,000 บาท มีอายุการใช้งานราว 10 ปี
- รางน้ำฝน PVC – เรียกสั้นๆ ว่าไวนิล ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในบ้านสไตล์โมเดิร์น เนื่องจากรางน้ำไวนิลนั้นเป็นแบบสำเร็จรูปสามารถหาซื้อได้สะดวก ทั้งยังสามารถเลือกสีหรือรูปทรงให้เข้ากับตัวบ้านได้ดีอีกด้วย แถมยังมีข้อดีอีกเพียบ อาทิ เนื้อเหนียวทนทานแข็งแรง มีน้ำหนักเบา ไม่เกิดสนิม และติดตั้งง่าย ไม่จำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมอาร์กอน รางน้ำฝน PVC นั้นมีราคาอยู่ที่ประมาณ 600 – 900 บาทต่อเมตร
รางน้ำฝน PVC ราคาเมตรละ 600 – 900 บาท มีอายุการใช้งานราว 5 – 10 ปี
นอกจากวัสดุรางน้ำฝน 3 ประเภทนี้แล้วยังมีวัสดุชนิดอื่นๆ ให้เลือกอีกมาก ซึ่งแต่ละแบบก็มีราคาที่แตกต่างกันไปนั่นเอง
2. ขนาดของรางน้ำ
นอกจากความยาวของรางน้ำฝนแล้ว ขนาดของรางน้ำก็ส่งผลต่อราคาด้วยเช่นกัน โดยขนาดที่หมายถึงคือ “ความกว้าง” ของตัวรางน้ำ ซึ่งต้องเลือกตามความยาวของหลังคาบ้านนั่นเอง โดยมีวิธีการเลือกที่เหมาะสมก ดังนี้
- หลังคาที่มีความยาวไม่เกิน 5 เมตร ควรติดตั้งรางน้ำฝนขนาด 4 นิ้ว
- หลังคาที่มีความยาวระหว่าง 5 – 15 เมตร ควรติดตั้งรางน้ำฝนขนาด 5 นิ้ว
- หลังคาที่มีความยาวมากกว่า 15 เมตร ควรติดตั้งรางน้ำฝนขนาด 6 นิ้ว
ข้อแนะนำคือควรเข้ารับคำปรึกษาจากร้านจำหน่ายรางน้ำฝนหรือผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะทำการติดตั้งรางน้ำ เพราะหากมีขนาดเล็กเกินไปก็อาจส่งผลให้น้ำล้นออกมาจากราง สร้างความเสียหายต่อพื้นและผนังกำแพงได้นั่นเอง
3. บริการติดตั้งรางน้ำฝน
รางน้ำฝนบางชนิด เช่น สแตนเลส อลูมิเนียม หรือไฟเบอร์กลาสต้องอาศัยช่างผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้ง เพราะต้องทำการเชื่อมรอยต่อและติดตั้งกับหลังคาบ้าน ซึ่งบางร้านอาจคิดค่าบริการเพิ่มเติม ตั้งนั้นท่านใดที่มีงบประมาณจำกัดจึงควรคำนึงถึงค่าติดตั้ง พร้อมเปรียบเทียบราคาให้ดีก่อนตัดสินใจ
ทั้ง 3 ข้อนี้ก็เป็นเพียงเหตุผลเบื้องต้นที่ส่งผลให้รางน้ำฝนราคาแตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและผู้จัดจำหน่ายรางน้ำด้วยนั่นเอง เมื่อทราบถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาแล้ว คราวนี้มาดูกันว่าจะเลือกรางน้ำฝนให้เหมาะกับบ้านได้อย่างไร
เลือกรางน้ำฝนอย่างไร? ให้ตอบโจทย์บ้านมากที่สุด
ในการเลือกรางน้ำฝนนั้น จะต้องพิจารณาจากหลายๆ อย่าง เพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์ของบ้านมากที่สุด
1.งบประมาณและวัสดุ
งบประมาณและวัสดุเป็นสองสิ่งที่หลายคนมักพิจารณาไปควบคู่กันเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งก็ต้องคำนวณค่ารางน้ำฝนตามประเภทที่เลือก ค่าติดตั้ง ให้ลองสำรวจจากร้านที่รับติดตั้งรางน้ำ เพื่อดูว่าราคาและวัสดุแบบไหนที่เหมาะสมที่สุด
2.ความสวยงามและความเข้ากัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้รางน้ำฝนจะเป็นส่วนเล็กๆ แต่ก็สามารถทำให้ภาพรวมของบ้านดูดีได้อย่างไม่รู้ตัวเลยทีเดียว ซึ่งหากต้องการให้รางน้ำฝนมีสีสันหรือตกแต่งให้เข้ากันกับสไตล์ของบ้าน ก็ขอแนะนำให้เลือก รางน้ำฝน PVC รางน้ำฝนอลูมิเนียม หรือไฟเบอร์กลาส ที่มีหลายสีให้เลือก แทนที่จะเลือกรางน้ำสังกะสีหรือสแตนเลสที่มีเพียงแค่สีเดียว นอกจากนี้ต้องไม่ลืมขนาดของรางน้ำที่ต้องมีความเหมาะสมกับความยาวของหลังคาด้วย เพียงเท่านี้ก็สามารถตกแต่งให้บ้านดูดีได้แล้ว
3.การติดตั้ง
โดยปกติรางน้ำฝนจะติดตั้งกับชายหลังคาโดยการใช้ตะปูหรือน็อต หรือรางน้ำบางประเภท เช่น รางน้ำฝนสังกะสีจะใช้การแขวนกับจันทัน ดังนั้น ในการติดตั้งรางน้ำหากเป็นการติดตั้งบริเวณหลังคาโรงจอดรถหรือหลังคาครัวไทยหลังบ้าน ก็สามารถติดตั้งเองได้ถ้ามีอุปกรณ์พร้อม แต่หากใครที่มีบ้านเดี่ยวหรือทาวน์โฮม 2 ชั้น ควรใช้บริการช่างผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่า เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้น วัสดุบางชนิดจำเป็นต้องใช้ช่างเฉพาะทางมาติดตั้งเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในภายหลัง
แนะนำรางน้ำ iR-uPVC นวัตกรรมสุดล้ำจาก VG
VG คือผู้นำด้านนวัตกรรมรางน้ำฝน iR-uPVC ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะที่เราได้มุ่งมั่นพัฒนามาอย่างยาวนาน สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างรอบด้าน มีการเสริมความแข็งแรงจากคุณภาพสูงจากแบรนด์นำระดับประเทศ มีผู้เชี่ยวชาญคอยควบคุมการผลิตในทุกขั้นตอน ยกระดับการป้องกันถึง 3 ชั้น ได้แก่
- Top Layer – ผิวด้านนอกมีความมันเงา เคลือบด้วยสีพิเศษ Dupont ซึ่งเป็นสีแบรนด์ดังระดับโลก มีคุณสมบัติ Infrared Reflective สามารถสะท้อนรังสียูวีจากแสงแดดได้กว่าถึง 3 เท่า
- Inner Layer – มีโครงสร้างที่แข็งแรง ทนทาน และมีความยืดหยุ่นสูง ช่วยให้คงสภาพรางน้ำได้ตลอดการใช้งาน ไม่แตกหักง่าย
- Bottom Layer – เคลือบเสริมตัววัสดุด้วยสี Dupont จึงเรียบเนียนสวยงาม ป้องกันรังสียูวี 3 เท่า ที่สำคัญคือมีดีไซน์เรียบเนียน สวยงาม เป็นฝ้าหลังคาไปในตัว ช่วยลดปัญหาอากาศร้อนบริเวณใต้ชายคาได้อีกด้วย
รางน้ำ iR-uPVC ยังได้ผ่านการทดสอบ Weather Testing จากประเทศเยอรมัน จึงมั่นใจได้ว่ามีคุณภาพพร้อมตอบโจทย์การใช้งานแน่นอน ซึ่ง VG ก็มีให้รางน้ำให้เลือก 3 รุ่น คือ PRIMO, FIRST R2 และ EZY มีราคา 650 – 850 บาทต่อเมตร หากสนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ vgandhome.com/gutter/